มาพบกันอีกครั้งกับเรื่องการพัฒนา Super app ที่ผมเขียนเรื่องนี้ท่ามกลางกระแสเทคโนโลยี AI
ผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยี AI และ Super app ณ เวลา ปัจจุบันนี้ มีความแตกต่างกัน
การสร้างผลิตภัณฑ์ต่อยอดของ AI ในยุคนี้ มุ่งเน้นการนำไปช่วยงานให้ นักธุรกิจ นักพัฒนา นักวิจัยทำงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เช่น การขอให้ AI ช่วยสรุปเรื่องราว เรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการให้ prompt ที่เพียงพอ ชัดเจน เราก็จะได้คำตอบที่ตรงกับสิ่งที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับการค้นคว้าด้วยตัวเองจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือต่างๆ กัน
AI มีบทบาทช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมอย่างไร แน่นอนความเร็ว และประสิทธิภาพของการทำงานเฉพาะอย่างจะดีขึ้น มีผลให้งานสำเร็จเป็นชิ้นๆ เป็นอันๆ ไปเร็วมากขึ้น แต่งานชิ้นนั้นก็จบไป ตอบโจทย์ความต้องการ สร้างรายได้เป็นครั้งๆ ไป เมื่อมองในแง่มุมนี้จึงเห็นได้ว่า AI ไม่ได้สร้างความเจริญ ยั่งยืนไว้อย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้เป็นความผิดของ AI แต่เป็นเรื่องของการประยุกต์ใช้เสียมากกว่า
ในขณะที่ Super app เป็นเรื่องที่พูดถึงกันน้อยลง ที่เป็นเรื่องน่าสงสัยว่า ทำไม ไม่มีการพูดถึงเรื่อง ความต้องการพัฒนา Super app กันมากขึ้น
เหตุผลที่ Super App เริ่มถูกพูดถึงน้อยลง
1. ตลาดเริ่มอิ่มตัว และมีผู้เล่นรายใหญ่ยึดครองแล้ว
Super App บางประเภท ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก เช่น WeChat (จีน), Grab (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้), Gojek (อินโดนีเซีย) หรือ LINE (ญี่ปุ่น-ไทย) ล้วนมีฐานผู้ใช้มหาศาลและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งมาแล้วหลายปี ทำให้ผู้เล่นรายใหม่แทบไม่มีพื้นที่ในการแข่งขันอย่างแท้จริง และอาจไม่มีแรงจูงใจในการลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่แบบครบวงจรที่ใช้ต้นทุนสูงมาก
2. ผู้บริโภคมีแนวโน้มชอบแอปฯ เฉพาะทางมากขึ้น
แม้ Super App จะรวมหลายบริการไว้ในแอปเดียว แต่ผู้ใช้งานเริ่มแสดงพฤติกรรมที่เน้น “ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” เช่น แอปธนาคารดิจิทัลที่มีฟีเจอร์ทางการเงินลึกกว่า Super App หรือแอปส่งอาหารเฉพาะที่ใช้งานง่ายและตรงจุดมากกว่าแพลตฟอร์มที่รวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน การกระจายตัวของแอปฯ ตามฟังก์ชันจึงกลายเป็นแนวโน้มใหม่
3. ความซับซ้อนของการพัฒนาและบริหารจัดการ
Super App ไม่ได้เป็นแค่ “การรวมบริการ” แต่หมายถึงการผนวกรวมระบบหลังบ้านหลายระบบเข้าด้วยกัน ซึ่งต้องใช้ทุนและทรัพยากรมหาศาล ทั้งด้านเทคโนโลยี บุคลากร การรักษาความปลอดภัย และการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ยิ่งในบริบทของภาครัฐหรือชุมชนท้องถิ่น อาจไม่มีความพร้อมในด้านนี้อย่างแท้จริง
4. ประเด็นด้านความเป็นส่วนตัวและการแข่งขันทางการค้า
Super App ที่รวบรวมข้อมูลผู้ใช้งานในหลายมิติ ถูกตั้งคำถามเรื่อง “การผูกขาดข้อมูล” และ “ความเป็นส่วนตัว” ของผู้ใช้งาน ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศเข้มงวดมากขึ้น เช่น กฎหมาย PDPA หรือ GDPR ซึ่งทำให้ผู้พัฒนาต้องคิดหนักว่าจะ “คุ้มค่าหรือไม่” หากต้องแบกรับความเสี่ยงทางกฎหมาย
5. การเปลี่ยนทิศทางไปสู่ Open Platform และ API-based Economy
ยุคหลัง Super App เราเริ่มเห็นแนวโน้มใหม่ คือ Open Platform และ Microservices ที่เน้นให้แต่ละบริการแยกออกจากกัน แล้วเชื่อมต่อผ่าน API แทนที่จะรวมทุกอย่างไว้ในแอปเดียว เช่น LINE ก็หันไปสร้าง LINE API ให้ธุรกิจต่าง ๆ ใช้บริการแทนการเพิ่มฟีเจอร์ในแอปหลัก นี่เป็นแนวคิดที่ยืดหยุ่นกว่า และเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนารายย่อยมีส่วนร่วมมากขึ้น
Super App ยังจำเป็นไหมในอนาคต?
แม้กระแสจะเงียบลง แต่ในบางบริบท Super App ยังเป็นคำตอบที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ยังไม่มีโครงสร้างดิจิทัลแยกย่อยชัดเจน เช่น พื้นที่ชนบทหรือภาครัฐในบางประเทศ การมีแพลตฟอร์มศูนย์กลางเดียวอาจช่วยลดความซับซ้อนในการเข้าถึงบริการได้อย่างมาก
ในกรณีของ “สมอง ไทยแลนด์” หากต้องการพัฒนา Super App แบบมีบริบท (Contextual Super App) เช่น เพื่อเกษตรกรชุมชน, ผู้สูงวัย, หรือกลุ่มแรงงาน ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงและอาจสร้างผลกระทบทางสังคมเชิงบวกได้มากกว่าการสร้างแอปเฉพาะทางหลายแอปที่แยกกัน
บทสรุป: ไม่ใช่แค่ “เงียบหาย” แต่เป็น “วิวัฒนาการ”
การที่ Super App ถูกพูดถึงน้อยลง ไม่ได้หมายความว่ามันล้มเหลว แต่เป็นเพราะแนวคิดนี้กำลัง “กลายพันธุ์” ไปสู่วิธีการที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้มากขึ้น เช่น Hybrid App, Open API, หรือระบบนิเวศดิจิทัลเฉพาะกลุ่ม
สิ่งสำคัญคือไม่ใช่การยึดติดกับคำว่า Super App หรือ AI แต่คือการเข้าใจ “บริบท” และ “เป้าหมายของผู้ใช้งาน” อย่างแท้จริง ว่าพวกเขาต้องการอะไร และแพลตฟอร์มควรตอบโจทย์อย่างไร
ปัจจุบันนี้ มี Super app ใดที่ช่วยพัฒนาจรรโลงเศรษฐกิจสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ นอกเหนือไปจากการตอบโ๗ทย์ความต้องการ การดำรงชีวิตรายวัน
คำถามนี้จะเป็นการสะท้อนให้เห็นมิติที่ลึกกว่าการมองว่า Super App เป็นแค่ “เครื่องมืออำนวยความสะดวก” ในชีวิตประจำวัน เช่น สั่งอาหาร เรียกรถ หรือโอนเงิน — คุณกำลังถามว่า มี Super App ไหนที่ “จรรโลงเศรษฐกิจสังคม” อย่างเป็นรูปธรรมบ้างหรือไม่?
คำตอบคือ… มีครับ และมีอย่างน้อย 3 ตัวอย่างที่โดดเด่นในระดับโลก ที่แสดงให้เห็นว่า Super App สามารถเป็น “กลไกสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ” ได้ ไม่ใช่แค่ตอบสนองความสะดวกเฉพาะบุคคลเท่านั้น
✅ 1. WeChat (ประเทศจีน): เสาหลักเศรษฐกิจดิจิทัลแบบ “Inclusive”
WeChat ไม่ได้เป็นแค่แอปแชท แต่กลายเป็น “ระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล” ที่รวมการโอนเงิน ขายของ ทำธุรกรรมภาครัฐ ธุรกิจ SMEs และบริการสังคมไว้ด้วยกัน
บทบาทในการจรรโลงเศรษฐกิจและสังคม:
- เปิดโอกาสให้ คนชนบทหรือผู้สูงอายุเข้าถึงบริการธนาคารและตลาดดิจิทัล ได้ แม้ไม่เคยมีบัญชีธนาคารมาก่อน
- มีบริการสาธารณสุขและภาครัฐ เช่น จองคิวโรงพยาบาล รายงานโควิด หรือสมัครงานภาครัฐ ผ่านแอปเดียว
- ช่วยกระจายรายได้สู่ชนบทผ่าน e-commerce และช่องทางไลฟ์สด
📌 ผลลัพธ์: เกิดระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ครอบคลุมประชากรเกือบทั้งประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงบริการได้อย่างเป็นรูปธรรม
✅ 2. Gojek (อินโดนีเซีย): แก้ปัญหาการจ้างงานและกระจายรายได้
Gojek เริ่มจากแอปเรียกรถมอเตอร์ไซค์ แต่พัฒนาไปเป็น Super App ที่รวมบริการขนส่ง ส่งอาหาร การเงิน และ e-wallet โดยเฉพาะเจาะกลุ่มคนจนเมือง คนหาเช้ากินค่ำ
บทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม:
- เปิดโอกาสให้ คนไม่มีการศึกษาสูงหรือว่างงานเข้าถึงรายได้ ผ่านการขับรถ ส่งอาหาร หรือบริการอื่นๆ บนแพลตฟอร์ม
- จัดตั้งระบบฝึกอบรมคนขับให้มีทักษะที่ดีขึ้น ทั้งด้านภาษา การเงิน และความปลอดภัย
- ให้บริการ micro-finance แก่แรงงานอิสระ เช่น การกู้ยืมซื้อโทรศัพท์หรือจักรยานยนต์
📌 ผลลัพธ์: มีแรงงานกว่า 2 ล้านคนพึ่งพา Gojek เป็นรายได้หลัก และสร้างการเติบโตให้แก่เศรษฐกิจระดับชุมชนโดยตรง
✅ 3. T-Money (เกาหลีใต้): Super App ขนส่ง-การเงิน ที่ลดการใช้เงินสดและคาร์บอน
แม้จะไม่ใช่ Super App แบบ “ตลาดเสรี” แต่ T-Money ของเกาหลีใต้ถือเป็น Super App เชิงสาธารณะ ที่รวมการชำระเงิน การเดินทางสาธารณะ และบริการภาครัฐเข้าด้วยกัน
บทบาทที่จรรโลงระบบเศรษฐกิจ-สิ่งแวดล้อม:
- ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะอย่างแพร่หลาย ลดมลพิษ ลดคาร์บอน
- ช่วยกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการด้วยบัตรสวัสดิการดิจิทัล
- ใช้ข้อมูลการเดินทางเพื่อพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะ
📌 ผลลัพธ์: ประเทศเกาหลีใต้มีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพและประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายแบบ cashless ซึ่งเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเขียวและความยั่งยืน
🔍 แล้วประเทศไทยล่ะ?
ประเทศไทยมีความพยายาม เช่น:
- เป๋าตัง / ถุงเงิน / ThaiD ที่เริ่มเข้าใกล้ความเป็น Super App ด้านภาครัฐ-การเงิน
- บางหน่วยงานเช่น ธ.ก.ส. หรือ กสศ. ก็เริ่มพัฒนาแอปฯ ที่เชื่อมโยงบริการการเกษตร การศึกษา หรือการเข้าถึงเงินทุนของคนรากหญ้า
แต่สิ่งที่ยัง “ขาด” คือ การรวมศูนย์ในลักษณะที่สร้างผลกระทบเชิงระบบ และการออกแบบเพื่อวัตถุประสงค์สาธารณะมากกว่าการใช้งานรายวันเท่านั้น
✨ บทสรุป:
Super App ไม่จำเป็นต้องใหญ่ แต่ต้อง “มีเจตนารมณ์สาธารณะ” และออกแบบเพื่อ “จรรโลงเศรษฐกิจและสังคม” อย่างแท้จริง
ประเทศที่ทำได้ดีคือประเทศที่มอง Super App ว่าไม่ใช่แค่แอป แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเชิงสังคม” (Digital Social Infrastructure)
หากประเทศไทยจะเดินหน้าในทิศทางนี้… การออกแบบ Super App เพื่อเกษตรกร, แรงงานนอกระบบ, ผู้สูงวัย หรือเยาวชนในพื้นที่เปราะบาง อาจเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีไม่ใช่แค่สะดวก… แต่เปลี่ยนชีวิตได้จริง